- Blog มาจากคำเต็มว่า WeBlog บางครั้งอ่านว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log
- Blog คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์
โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ ซึ่งข้อมูลประกอบด้วยข้อความ, รูปและลิงค์
- การเพิ่มบทความให้กับ blog ที่มีอยู่ เรียกว่า “blogging”
- บทความใน blog เรียกว่า “posts” หรือ “entries”
- บุคคลที่โพสลงใน “entries”เรียกว่า “blogger”
จุดเด่นของ Blog
1. เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่าง
ผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านที่เป็นกล่มุเป้าหมายได้ชัดเจน
2. มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทำให้สามารถเผยแพร่ความ
คิดเห็นของผู้เขียน blog ได้ง่ายขึ้น
3. Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ
ข้อแตกต่างของ Blog กับเว็บประเภทอื่น
- การใส่ข้อมูลใหม่ทำได้ง่าย
- มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ
- มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ
- ผู้ดูแลจัดการ blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่น
โดยจัดการเรื่องการอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย
- เจ้าของ blog จะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น
Blog และวิถีของผู้คน
- Blogger หลายคนสนับสนุนแนวคิดเรื่อง open source
- Blog ส่งผลกระทบต่อสงั คมได้ เช่นบาง Blog นั้นลูกจ้างอาจจะก่อรำคาญ
ใจต่อนายจ้างและทำให้บางคนถูกไล่ออก
- คนใช้ Blog ในทางอื่นๆ เช่นส่งข้อความสู่สาธารณะ อาจจะมีปัญหาตามมา
ได้ คือการไม่เคารพทรัพย์สินทางปัญญา หรือการให้ข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือได้
- บางครั้งการสร้างข่าวลือก็เอื้อประโยชน์ต่อสื่อสารมวลชนที่สนใจเรื่องนั้น ๆ ได้
- Blog เป็นการรวบรวมความคิดของมนุษย์ สามารถนำมาใช้ช่วยกับปัญหาด้าน
จิตวิทยา , อาชญากรรม , ชนกล่มุ น้อย ฯลฯ
- Blog เป็นช่องทางเผยแพร่งานพิมพ์อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง การโพสข้อความใน BLBlog
ตัวอย่างของ Blog
- ทำหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup
- มีการรวบรวมข้อมูลทั่ว ๆไป เช่น เทคโนโลยี, เกม,คอมพิวเตอร์, การเมือง ฯลฯ
- ผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้
- ผู้ใช้คนอื่นๆ ก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั้งโพสความคิดเห็นของตนเองลงไปได้
Wiki
- Wiki อ่านออกเสียง "wicky", "weekee" หรือ "veekee"
- สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์ โดยไม่ต้อง
สร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน
- Wiki เน้นการทำระบบสารานุกรม, HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆ แขนงเข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ
มีเครื่องมือที่ใช้ทำ Wiki หลายอย่าง เช่น Wikipedia เป็นต้น
- Wikipedia เป็นระบบสารานุกรม (Encyclopedia) สาธารณะที่ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลลงไปได้
รองรับภาษามากกว่า 70 ภาษารวมทั้งภาษาไทย
- มีการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์วิกิที่สำคัญยิ่งในการสร้างสารานุกรม ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาร่วมกันสร้างสารานุกรมที่ http://www.wikipedia.org
- วิกิพีเดียในภาคภาษาไทยที่ http://th.wikipedia.org
- ในปัจจุบันวิกิพีเดียถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ
- ซอฟต์แวร์เพื่อสังคมที่ดี พึงคงคุณลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้กับปัจเจกบุคคลใน
การสื่อต่อสาธารณะโดยมีการควบคุมน้อยที่สุด
- เพื่อให้การประมวลสังคม เป็นไปอย่างอิสระปราศจากการครอบงำจากเจ้าของ
เทคโนโลยีให้มากที่สุด
- ดังนั้นการสร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสังคมใดๆ พึงตระหนักถึงหลักการ
เคารพในสิทธิของปัจเจก (individual) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตัวอย่างเว็บไซต์ Wiki
Instant Messaging
- เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ relative privacy
- ตัวอย่างเช่น Gtalk , Skype , Meetro , ICQ ,Yahoo Messenger , MSN Messenger และ
AOL Instant Messenger เป็นต้น
ตัวอย่างโปรแกรม Instant Messaging
ก่อนหน้าการกำเนิดขึ้นของปัจเจกวิธาน โดยทั่วไปแล้ว ได้มีการจัดกล่มุ การจัด
ระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1. ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
2. เรียงเนื้อหาตามลำดับเวลา (Chronological)
3. แยกตามกลุ่มประเภท (Category, Classification)
1.ค้นหาในเนื้อความ (Text Search)
- ตัวอย่างเช่น Google ที่ก่อตั้งโดย Sergery Brin และ Larry Page
- ได้ออกแบบเพื่อจัดอันดับความสำคัญของเว็บโดยคำนวณจากการนับ Link
จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บหนึ่ง ๆ
- เป็นที่น่าติดตามว่าจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ
2. เรียงเนื้อหาตามลำดับเวลา (Chronological)
- เนื้อหาข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงลำดับเวลาโดยแสดงตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน
- เช่น เว็บไซต์ประเภทข่าว อย่าง CNN, BBC และ google
news เนื้อหาเก่าจะตกไปอยู่ด้านล่าง
- Blog ก็ใช้วิธีจัดเรียงตามเวลาเช่นกัน
- ทั้งนี้หากต้องการอ่านเนื้อหาเก่าก็สามารถคลิกดูที่ปฏิทินได้
3. แยกตามกลุ่มประเภท (Category, Classification)
- การจัดระเบียบแบบนี้ยึดเอาหัวข้อเป็นหลัก แล้วแยกประเภทออกไป เช่น แบ่งหนังสือเป็นประเภทธุรกิจ, หนังสือเด็ก, นวนิยาย, คอมพิวเตอร์, ศาสนา,วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ลักษณะอื่น ๆ
- จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต มีดังต่อไปนี้
- เนื้อหามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรายวัน
- การค้นหาข้อมูลที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดทำได้ยาก เนื่องจากเนื้อหาที่มีจำนวนมาก
- การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านที่ขึ้นกับความสนใจของผู้ทำการค้นไม่ตรงจุด
- ข้อมูลที่พบอาจจะขาดความน่าเชื่อถือ
กำเนิดปัจเจกวิธาน
- Joshua Schachter เริ่มรวบรวมเก็บเว็บต่าง ๆ เป็น Bookmark ของตนเองคนเดียวไว้มากและใช้ Keyword เพื่อจัดกลุ่มแทน
- เช่น “search engine tools” และ “password security tools” เมื่อต้องการเรียกเว็บที่มีคำว่า tools
ก็จะสามารถดึงรายชื่อเว็บทั้งหมดออกมาได้ทันที
- ปัจเจกวิธาน เรียก keyword นี้ว่า tag เป็นคำสกั 2 - 7 คำที่เกี่ยวกับเว็บใหม่
ที่สามารถจัดเป็นกล่มุ เว็บได้
Tag
- วิธีการใช้ tag นี้มีความสะดวกตรงที่ไม่ต้องจำลำดับชั้นการจัดระเบียบเช่นเดิม การค้นเจอเว็บก็ได้จาก tag หลาย ๆ ตัวได้ ไม่จำกัดอยู่แต่ข้อมูลในFolder เดียวกัน Joshua นำให้ทุก ๆ คนสามารถตรวจดูเว็บที่มี
การตั้งชื่อ tag โดยผู้อื่นได้
กลุ่ม Tag ก่อตัวกันมองคล้ายกลุ่มเมฆ (Tag Cloud)
ทุก ๆ คนใช้ tag ใดมากน้อยเพียงใด (ดังรูป) Tag ใดที่มีคนใช้มาก ก็จะตัวใหญ่ tag ใดใช้น้อยก็จะตัวเล็ก
- การแสดงภาพรวมนี้สามารถทำได้ทั้งของทุก ๆ คนรวมกัน หรือ เฉพาะบุคคลไป
(ซึ่งจะชี้ให้เห็นได้ว่าบุคคลนั้นสนใจเรื่องใดบ้าง)
ตัวอย่าง Tag Cloud
ตัวอย่างการค้นหาเว็บที่เกี่ยวกับ Wallpaper ใน del.icio.us
การใช้แกนในการค้นหาถึงสามอย่างได้ช่วยให้พบข้อมูลใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น แกนดังกล่าวได้แก่
• User: เว็บทั้งหมดที่ผู้ใช้ผู้นี้ใส่ tag ให้และเรียกดู tag cloud ของผู้ใช้ผู้นี้ได้ด้วย
• Tag: เว็บทั้งหมดที่มีการใส่ tag และเรียกดู tag ที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
• URL: เว็บเว็บนี้มีใครใส่ tag บ้าง และใส่ว่าอะไรบ้าง
การค้น อาจจะเริ่มจากที่ User แล้วไปที่แกน tag และทำให้พบ tag ที่เกี่ยวข้องได้อีก โดยไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนแต่แรก
การใช้ tag สามารถพบได้ในการนำไปกับเนือหาอื่น ๆ
- Flickr.com เก็บ และ ใส่ tag ให้กับรูปภาพ
- CiteULike.org เก็บและใส่ tag ให้เอกสารงานวิจัย (academic paper)
- 43Things.com บันทึกสิ่งที่อยากทำในชีวิตพร้อมกับใส่ tag ให้กิจกรรมนั้น
- Tagzania.com บันทึกสถานที่ และใส่ tag ให้กับสถานที่หรือแผนที่
ตัวอย่าง tag/cat รวมภาพที่เกี่ยวกับแมวบน Flickr.com
- ระบบการใช้ tag จะมีการนำไปประยุกต์ใช้กับ Blog และ Wiki
เพื่อความสะดวกให้การค้นหาความรู้ต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในซอฟต์แวร์ทั้งสอง
- ในระยะยาวอาจจะมีการแข่งขันของโปรแกรมลักษณะนี้อีกก็เป็นไปได้ โดยที่
อาจจะมีคุณลักษณะเพิ่มเติมที่ง่ายต่อการใช้งาน และมีความสามารถใหม่ ๆ
Networking standards
ในส่วนนี้จะกล่าวถึง Internet Standard เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุกๆ protocol & procedure
และระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ต ไม่จำเป็นว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของ TCP/IP protocol หรือไม่ ในกรณีของหลายๆ protocol จะถูกพัฒนาและทำให้เป็นมาตราฐานด้วยองค์กรที่
ไม่ใช่เป็นองค์กรของอินเตอร์เน็ต (non-Internet organizations)
TCP/IP
- ข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล และ internet หรือ protocol ของระบบ internet Transmission Control Protocol/Internet Protocol
- โปรโตคอล TCP/IP เป็นชื่อเรียกของชุดโปรโตคอลที่สำคัญ มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
ตามการขยายตัวของอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ต
- โปรโตคอลที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต คือ Internet Protocol
เนื่องจาก เมื่อโปรโตคอลอื่น ๆต้องการส่งผ่านข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ตนั้น
จะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล (encapsulation) ไปกับโปรโตคอล IP ที่มีกลไกการระบุ
เส้นทาง(route service) ผ่าน Gateway หรือ Router
The HTTP protocol
- HTTP มาจากคำว่า Hypertext Transfer Protocol ซึ่งเป็น protocol ที่ใช้ในการส่งเดต้าต่าง ๆ
ในโลกของ World Wide Web.
HTTP เป็น network protocol ที่ใช้หลักการของ client-server model ในการติดต่อสื่อสารซึ่ง
หลักการทำงานอย่างคร่าว ๆ มีดังนี้
1. HTTP Client จะทำการสร้างคอนเนคชั่น ไปหา HTTP Server ซึงโดยทัว ไปจะผ่านทาง socket
ของ TCP/IP
2. หลังจากนั้น HTTP Client จะทำการส่งคำสั่ง (request) ซึ่งอยู่ในรูปของ message ไปให้ HTTP
Server เพื่อทวงถามถึง resource ที่ต้องการ
3. HTTP Server จะทำการตีความคำสั่งที่ได้และส่งผล (response) ซึ่งเป็น resource ที่ HTTP
Client ต้องการกลับมา (ผลที่ส่งกลับมาจะเป็นลักษณะของ message คล้ายกับ requet ของ HTTP
Client ที่ส่งมาให้ HTTP Server)
4. หลังจากที่การส่ง response เสร็จสิ้น, HTTP Server จะทำการปิดคอนเนคชั่น ที่มาจาก HTTP Client
5. ในกรณีที่ HTTP Client ต้องการ resource อื่น ๆ, HTTP Client จะต้องทำการสร้างคอนเนคชั่น
ใหม่และส่งคำสั่ง ไปหา HTTP Server อีกครั้ง
จากหลักการข้างต้นจะเห็นว่าการติดต่อสื่อสารระหว่าง Client และ Server จะเป็นลักษณะครั้งต่อ
ครั้ง ในทาง network เราเรียกการติดต่อสื่อสารแบบนี้ว่า Stateless Protocol
Uniform resource locators (URLs)
- คือตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้สำหรับระบุแหล่งที่อยู่ของทรัพยากร
ที่ต้องการ และมีกลไกบางอย่างสำหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา ในการใช้ในเอกสารทางเทคนิค
และการอภิปรายทั่วไป
- http://www.domain-name.extension/filename.html
Domain names
คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com) ที่สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซ้ำกับ
คนอื่น เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ “ชื่อเว็บไซต์” คือ สิ่งแรกที่แสดง หรือ
ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก สามารถมีได้ชื่อเดียวใน
โลกเท่านั้น
ข้อควรรู้ก่อนจดโดเมน LOGO
- ความยาวของชื่อ Domain ตั้งได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
- Domain ต้องจดในชื่อของเราเท่านั้น Domain Ownership
- ถ้าเป็น Domain ของบริษัท พยายามจดภายใต้ชื่อบริษัท อย่าจดด้วยชื่อพนักงาน IT
- ข้อมูลที่สำคัญที่สุดของ Domain คือ Owner Detail
- ใช้อีเมล์ที่จะอยู่กับเราตลอดไปในการจดโดเมน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ติดต่อกับเรา
เรียกว่า Registrant E-mail
- บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ Domain ของเราไว้ให้ดี วันหมดอายุ ผู้ติดต่อ และอื่น ๆ